ว.วชิรเมธี » ดีหรือร้าย…ใครจะรู้

ดีหรือร้าย…ใครจะรู้

9 มิถุนายน 2563
584   0


ไวรัสโควิดถูกค้นพบที่เมืองอู่ฮั่น ประเทศจีน
ในราวเดือนธันวาคม ๒๕๖๒
จากนั้นค่อยๆ ลุกลามระบาดออกมาจากอู่ฮั่นสู่เมืองอื่นๆ ของประเทศอย่างรวดเร็ว
พอถึงช่วงตรุษจีนราวต้นเดือนกุมภาพันธ์
รัฐบาลจีนเริ่มออกมาตรการเข้มข้นเพื่อจัดการ
กับเชื้อไวรัสนี้ไม่ให้แพร่หลายออกไปยังเมืองอื่นๆ ของประเทศ
แต่ดูเหมือนว่า ความตื่นตัวของรัฐบาลจะมาช้าไป
เพราะก่อนหน้านั้น
มีคนจีนที่ติดเชื้อและเดินทางออกไปจากเมืองอู่ฮั่นสู่ภูมิภาคอื่นๆ แล้วทุกหนทุกแห่ง
เมื่อมาตรการในการควบคุมโรคมาถึงช้า
สภาวะ “โรคาภิวัตน์” ก็จึงหลีกเลี่ยงไม่ได้
ไวรัสจากเมืองอู่ฮั่นจึงได้กลายเป็นอภิมหาไวรัสที่ระบาดไปทั่วทั้งโลก
ในยามที่โลกตกอยู่ท่ามกลางกระแส “โลกาภิวัตน์”
โลกทั้งโลกถูกเชื่อมโยงเป็นหมู่บ้านเดียวกันฉันใด
สภาวะโลกาภิวัตน์แบบเดียวกันนั่นเอง
ได้กลายมาเป็นสภาพเอื้อให้เกิดสภาวะ “โรคาภิวัตน์” ตามไปด้วยฉันนั้น
.
การติดต่อสื่อสาร การเดินทางข้ามประเทศ ข้ามโลก ที่แสนสะดวก
ในยุคโลกาภิวัตน์ กลายเป็นแนวร่วมชั้นดีให้เชื้อไวรัสพลอยได้รับอานิสงส์
มันจึงพุ่งตรงเข้าสู่ประชาชนทุกเชื้อชาติ ทุกภาษา ทุกประเทศ อย่างง่ายดาย
ผลที่ตามมาก็คือ ประชาชนพลโลกตกตายกันเป็นเบือเหมือนใบไม้ร่วง
แม้แต่ประเทศที่เจริญแล้วอย่างสหรัฐอเมริกา
สหราชอาณาจักร ฝรั่งเศส อิตาลี ญี่ปุ่น สิงคโปร์
ก็ไม่อาจสะกัดกั้นเชื้อไวรัสนี้ได้อย่างทันท่วงที
ทุกประเทศล้วนตกที่นั่งลำบากไม่ต่างกัน
.
มีการคาดการณ์กันว่า
หลังพายุไวรัสโควิด ๑๙ ปิดฉากลงไปแล้ว
โฉมหน้าของโลกคงจะเปลี่ยนไปอย่างสิ้นเชิง
สิ่งที่เรียกกันว่า New Normal คงจะเกิดขึ้นอย่างไม่ต้องสงสัย
แต่จะเกิดอย่างไร จะเป็นผลดีหรือผลร้าย ยังไม่มีใครรู้แน่
แต่ที่แน่ๆ ก็คือ โลกของเราจะไม่เหมือนเดิมอีกต่อไป
สิ่งที่เราต้องทำก็คือ
ต้องเตรียมตัวเตรียมใจยอมรับ “ระเบียบโลกใหม่”
“มาตรฐานชีวิตแบบใหม่”
ที่กำลังจะเกิดขึ้นด้วยความไม่ประมาท
.
มีแต่การเตรียมรับมือด้วย “ความไม่ประมาท” เท่านั้น
จึงจะเป็นยุทธศาสตร์ที่ดีที่สุด
ที่จะรับมือกับความเปลี่ยนแปลงอย่างได้ผล
เพราะเมื่อไหร่ก็ตามที่มนุษยชาติประมาท
เรามักจะต้องจ่ายราคาของความประมาทนั้นด้วยงบประมาณที่แพงลิบลิ่ว
และบางครั้งสิ่งที่เราต้องจ่ายก็ไม่ใช่เงินเสมอไป
หากแต่เป็น “ชีวิต” ของคนจริงๆ นับแสน นับล้านคน
.
ใครก็ตาม หรือรัฐบาลไหนก็ตาม
ที่ประมาทเชื้อไวรัสโควิด ๑๙ มาถึงนาทีนี้
คนและรัฐบาลเหล่านั้นคงรู้แล้วละว่า ราคาของความประมาทนั้น
ต้องจ่ายแพงเพียงไร และมันคุ้มกันหรือไม่กับความละล้าละลังล่าช้าในการแก้ปัญหา
เมื่อเทียบกับประเทศที่ไม่ประมาท และวางแผนในการตั้งรับมาเป็นอย่างดี
.
“สติ สพฺพตฺถ ปตฺถิยา”
“ความไม่ประมาท เป็นสิ่งจำเป็นในทุกสถานการณ์”
พระพุทธพจน์นี้สมควรยึดเป็นสุภาษิตประจำใจของเราทุกคนและของผู้นำทั่วโลก
เพราะหลังจากนี้ ยังจะมีอะไรเกิดขึ้นมาอีก ไม่มีใครเก่งพอที่จะคาดการณ์จริงๆ
ดีหรือร้าย ใครจะรู้ ใครจะทำนาย ใครจะพยากรณ์
ช่างเป็นเรื่องยากเสียจริงๆ
.
ในอดีตกาลนานมาแล้ว
ยังมีพระราชาอยู่พระองค์หนึ่ง
พระราชาพระองค์นี้ทรงโปรดการเข้าป่าล่าสัตว์เป็นอย่างมาก
อยู่มาวันหนึ่ง ขณะที่พระองค์ทรงวิ่งไล่ตามกวางตัวหนึ่งอยู่กลางไพรสณฑ์
พระองค์ก็ทรงพลาดล้มลงและนิ้วพระหัตถ์ก็มีเลือดไหลซิบๆ
หมอหลวงตรงเข้าตรวจแล้วถวายคำแนะนำว่าต้องตัดนิ้ว
เพราะหากทิ้งไว้จะเสี่ยงต่อการติดเชื้อ
พระองค์ทรงถามหมอหลวงว่า
“ท่านหมอหลวง ถ้าตัดนิ้วแล้ว อาการมันจะดีขึ้นจริงๆ หรือ”
“ข้าก็ไม่กล้ายืนยันว่ามันจะดีขึ้นร้อยเปอร์เซนต์หรือไม่ ‘ดีหรือร้าย ใครจะรู้ล่ะ’ ”
ถวายรายงานเสร็จแล้ว หมอหลวงก็ตัดนิ้วที่ได้รับอันตรายทิ้งไปส่วนหนึ่ง
พระราชาทรงกริ้วมาก แต่ก็ไม่รู้จะทำอย่างไร
.
สามเดือนต่อมา
เมื่อพระอาการหายดีแล้ว
พระองค์ทรงต้องการเข้าป่าล่าสัตว์อีกครั้งหนึ่งเพื่อแก้มือ
แต่คราวนี้ทรงต้องการพาหมอหลวงไปด้วย แต่หมอหลวงไม่ยอมไป
เขาอ้างว่า เขาเป็นหมอ ไม่เคยเดินป่ามาก่อน
พระองค์ทรงกริ้วมากที่หมอหลวงขัดพระราชประสงค์
จึงสั่งจำคุกหมอหลวงพลางตรัสว่า
“เจ้ากล้าขัดคำสั่งข้า จงไปอยู่ในคุกเสียเถิด
คุกหลวงน่ะเป็นที่ที่ดีที่สุดแล้วสำหรับคนอย่างเจ้า”
“คุกหลวงจะเป็นที่ที่ดีหรือร้ายใครจะรู้ล่ะ”
หมอหลวงซึ่งเป็นพระสหายกราบทูลตอบพระราชา
.
พระราชานิ้วด้วนทรงมุ่งหน้าเข้าป่าโดยไม่สนพระทัยคำทัดทานของใครๆ
คราวน้ีทรงเข้าป่าลึกยิ่งกว่าเดิมเสียอีก
ผลของการไม่ฟังเสียงทัดทานของของข้าราชบริพาร
ทำให้คราวนี้ทรงโชคร้ายกว่าคราวก่อนเสียอีก
เพราะในที่สุดพระองค์ก็ทรงหลงป่า และทรงถูกจับโดยชนเผ่ากินคนเผ่าหนึ่ง
พวกเขาจับพระองค์มัดและเตรียมประกอบพิธีเผาพระองค์ทั้งเป็น
เพื่อสังเวยเทพเจ้าประจำเผ่า
เมื่อได้เวลาพระจันทร์ทรงกลด
หัวหน้าเผ่ากินคนก็สั่งเผาพระองค์เพื่อสังเวยเทพเจ้า
แต่ก่อนจะเผา
ต้องมีการตรวจสภาพร่างกายว่าเหยื่อเป็นมนุษย์ที่มีอวัยวะสมบูรณ์หรือไม่
หากมีอวัยวะไม่สมบูรณ์จะถือว่าเป็นเครื่องสังเวยที่ไม่เป็นมงคลแก่เทพเจ้าประจำเผ่า
เมื่อตรวจอยู่สักพักหนึ่งเจ้าหน้าที่ฝ่ายพิธีการก็พบว่า
เหยื่อรายนี้มีนิ้วด้วนไปนิ้วหนึ่ง
หัวหน้าเผ่าโกรธมาก จึงสั่งปล่อยพระองค์ แล้วสั่งให้เผาทหารที่ติดตามมาแทน
.
ชนเผ่ากินคนปล่อยพระราชาให้เดินกระเซอะกระเซิงกลับออกมาจากป่า
ส่วนข้าราชบริพารที่มีอวัยวะสมบูรณ์ถูกจับไปเผาทั้งเป็น
เพื่อสังเวยเทพเจ้าแทน
พระองค์ทรงดีพระทัยมาก เมื่อกลับถึงพระราชวัง
สิ่งแรกที่ทรงทำก็คือ
ทรงตรงไปที่คุกหลวงเพื่อจะขอบคุณหมอหลวงประจำพระองค์
ที่ช่วยตัดนิ้วของพระองค์ในคราวนั้น
เพราะนิ้วด้วนนั้นแท้ๆ พระองค์ถึงรอดตายมาได้อย่างหวุดหวิด
เมื่ออยู่ต่อหน้าหมอหลวงพระองค์ก็ตรัสว่า
“เฮ้ย เจ้าหมอเพื่อนรัก ข้ารอดตายคราวนี้
ก็เพราะนิ้วที่เจ้าตัดทิ้งแท้ๆ
หากเจ้าไม่ตัดนิ้วข้าทิ้งตอนนั้นป่านนี้คงถูกเผาไปแล้ว
แหม…การมีนิ้วด้วนนี่มันก็ดีเหมือนกันนะ”
หมอหลวงยิ้มอย่างสบายใจ
ก่อนจะตอบพระราชาอย่างคนที่ผ่านโลกมานาน
จนรู้เห็นความเป็นไปของโลกมาหมดจนไม่ตื่นเต้นกับอะไรอีกแล้วว่า
“มหาราช การมีนิ้วด้วนหรือมีนิ้วครบ มันจะดีหรือร้าย ใครจะรู้”
กราบทูลเสร็จเขาก็หัวเราะร่วนอย่างมีความสุข พระราชาทรงอุทานเบาๆ
กับตัวเองว่า
“คงจะจริงของมัน การมีนิ้วด้วนหรือมีนิ้วครบ ดีหรือร้าย ใครจะรู้”
.
โลกหลังโควิด ๑๙ ปิดฉากลงไป
จะดีหรือร้าย ใครจะรู้
มีแต่ต้องรอดูกันต่อไปด้วยความไม่ประมาท

ตัวอย่างเนื้อหาในหนังสือ

สำนักธรรมบริการและงานเผยแผ่ธรรม
ศูนย์วิปัสสนาสากลไร่เชิญตะวัน
ขอเชิญพุทธศาสนิกชนร่วมเป็นเจ้าภาพ
จัดพิมพ์หนังสือธรรมทาน “ฉบับวันเข้าพรรษา”
เรื่อง “เดี๋ยวมันก็ผ่านไป : THIS TOO SHALL PASS”
.
ซึ่งเป็นการรวมบทความที่เขียนขึ้นระหว่างสถานการณ์
โควิด ๑๙ ระบาดไปทั่วโลก ผ่านมุมมอง ข้อคิด ข้อสังเกต
หลักธรรมทางพุทธศาสนา จากปลายปากกาของท่านเจ้าคุณ
พระเมธีวชิโรดม (ท่านว.วชิรเมธี) รวมทั้งบทสัมภาษณ์ผ่าน
สื่อมวลชนหลายฉบับในห้วงเวลาสำคัญของประวัติศาสตร์ของโลก
ครั้งนี้